สรุปบทเรียนรู้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การบริหารการเงิน และการจัดการหนี้"
เริ่มต้นของความพอเพียงกับบ้านพอเพียงซึ่งแสดงเป็นรูปภาพที่มีองค์ประกอบภายในดังนี้
เสาต้นที่ 1 ความพอประมาณ (หมายถึง ไม่มากไป ไม่น้อยไป)
เสาต้นที่ 2 ความมีเหตุมีผล
เสาต้นที่ 3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ( มีการป้องกันความเสี่ยง) โดยมีพื้นฐานของบ้านเป็น 2 ชั้น
ชั้นที่ 1 เป็นความรู้ (รอบรู้ รอบคอบระมัดระวัง)
ชั้นที่ 2 เป็นคุณธรรม (ซื่อสัตย์ อดทน ความเพียร สติปัญญา ประหยัด)
การพัฒนาจะมีบันได 3 ขั้น ซึ่งสามารถผสมผสานเข้ากับหลักการ “CIO" (Cost Income - Opportunity) ได้อย่างเหมาะสม คือ
ขั้นที่ 1 พัฒนาให้เข้มแข็ง
ขั้นที่ 2 พึ่งกันและกัน
ขั้นที่ 3 พึ่งตนเอง
สรุปบทเรียนรู้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การบริหารการเงิน และการจัดการหนี้วันที่ 29 มกราคม 2551ณ อาคารสัมมนา ศูนย์พัฒนาอนามัยพื้นที่สูง การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เริ่มจาก ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอนามัยพื้นที่สูง ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน และมีการบรรยายเรื่อง “กลยุทธ์ในการบริหารจัดการเงิน และการลงบัญชีรายรับ รายจ่าย" โดย นายอาจหาญ จันทร์ใส หัวหน้าหน่วยอำเภอห้างฉัตร จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร “เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี พระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย มาโดยตลอดนานเกือบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ “ความพอเพียง" หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนการดำเนินการและขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ ซึ่งเราสามารถหลักเศรษฐกิจพอเพียงในใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ทุกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการเงิน นอกจากนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรมีส่วนช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งโดยปลูกฝังให้เกษตรกร ในเรื่องสัจจธรรมชีวิต ลดละเลิกอบายมุขต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางทางด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ทำการเพิ่มรายได้ของตนเองโดยให้คำแนะนำเรื่องการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การทำน้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม และยาสระผมเป็นต้น เริ่มต้นของความพอเพียงกับบ้านพอเพียงซึ่งแสดงเป็นรูปภาพที่มีองค์ประกอบภายในดังนี้ เสาต้นที่ 1 ความพอประมาณ (หมายถึง ไม่มากไป ไม่น้อยไป)เสาต้นที่ 2 ความมีเหตุมีผลเสาต้นที่ 3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ( มีการป้องกันความเสี่ยง) โดยมีพื้นฐานของบ้านเป็น 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นความรู้ (รอบรู้ รอบคอบระมัดระวัง) ชั้นที่ 2 เป็นคุณธรรม (ซื่อสัตย์ อดทน ความเพียร สติปัญญา ประหยัด) การพัฒนาจะมีบันได 3 ขั้น ซึ่งสามารถผสมผสานเข้ากับหลักการ “CIO" (Cost Income - Opportunity) ได้อย่างเหมาะสม คือ ขั้นที่ 1 พัฒนาให้เข้มแข็งขั้นที่ 2 พึ่งกันและกันขั้นที่ 3 พึ่งตนเองนายกมล มัทการ ตำแหน่งพนักงานพัฒนาธุรกิจ 7 จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้มาให้คำแนะนำวิธีการลงสมุดบัญชีครัวเรือน รายรับ-รายจ่าย ซึ่งในที่ประชุมให้ความสนใจ มีการเสนอความคิดเห็นและซักถามเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่วนการบรรยายเรื่อง “โครงการเกษียณเพิ่มสุข เงินออมสำหรับคนวัยเกษียณ และเงินออมลูกรัก" โดย นางยุพิน แก้วชัย ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการสาขาห้างฉัตร ที่แนะนำโครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทั้ง 2 โครงการ และคุณสมบัติของผู้ฝาก วงเงินในการฝากเงินออม อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเกณฑ์ต่าง ๆในการฝากเงิน ประเด็นสุดท้ายเรื่อง “การออมทรัพย์อย่างพอเพียง เพื่อชีวิตที่เพียงพอ" โดย นายประดิษย์ คำฟู ตำแหน่งผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ได้มาให้คำแนะนำถึงประโยชน์ของการออมเงิน ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีองค์ประกอบคือวินัยชีวิตทางการเงิน ปรับความคิด พิชิตความจน วางแผนชีวิต (ครัวเรือน) การทำบัญชีรับจ่ายครัวเรือน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สะสมเงินออม ขยายโอกาส แนวทางสู่ “การบริหารการเงินที่ดี" ได้แก่การหาเงิน รู้จักการวางแผนการเงินที่สมดุล - มีเงิน / มีเวลา /มีแรง- ใช้เงินทำงาน- ไม่เสี่ยงรวยทางลัด “การวางแผนการเงินที่สมดุล คือ การที่คุณรู้จักวางแผนในเรื่องการเงินของตัวคุณและครอบครัวอย่างเหมาะสมทั้งรายได้ รายจ่าย การออม การลงทุน ภาษี หนี้สิน และการป้องกัน ความเสี่ยงต่างๆ ด้วย" ประกอบด้วย วางแผนกำหนดเป้าหมายทางการเงิน ทั้งเป้าหมายระยะสั้น/ระยะยาว วัตถุประสงค์เพื่อ1. เพื่อใช้จ่าย2. เพื่อเหตุฉุกเฉิน3. เพื่อความมั่นคงวางแผนการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต- สำรวจรายได้เพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ - กำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ- บันทึกการใช้จ่ายทุกวัน- มีวินัยและปรับให้เหมาะสม การออมเงินแบบลบ 10 เพิ่ม 10 - ออมแบบลบ 10 คือ หักจากรายได้เป็นเงินออม 10 % เป็นประจำทุกเดือน- ออมแบบเพิ่ม 10 คือ ก่อนใช้จ่าย ต้องแยกเป็นเงินออม 10 % ของเงินที่จะใช้จ่ายควรออมเงินไว้เผื่อฉุกเฉินเท่าไร ?- จำนวนขั้นต่ำ คือ 6 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน - ควรออมในสภาพคล่องสูง เช่น ฝากธนาคาร ซื้อทองคำ- อาจซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี- การลงทุนซื้อประกันชีวิต - การฝากธนาคารบัญชีที่ยกเว้นภาษี- การลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือ RMF เงินสะสมเพื่อเกษียณอายุ มีวิธีคำนวณสินทรัพย์ภายหลังเกษียณอายุ (สินทรัพย์ที่ปลอดหนี้สิน) คืออายุ x รายรับที่ได้ทั้งปี หารด้วย 10